ขอขอบคุณภาพจาก - https://doctorathome.com/disease-conditions/370

แมงกะพรุน พฤติกรรมการใช้ ของแมงกะพรุน

แมงกะพรุน  หมายถึง สัตว์ทะเลที่มีรูปร่างคล้ายจานน้ำ มักมีลักษณะของหน้าตาเป็นแป้ง ซึ่งประกอบด้วยบางส่วนที่โปร่งแสงหรือใส ซึ่งช่วยให้สามารถดูเหมือนจานน้ำเหลืองๆ หรือแดงๆ ในน้ำ นอกจากนี้ยังมีหลายชนิดของ jellyfish ที่มีลักษณะต่าง ๆ อาทิเช่น มีหนวดยาว ๆ หรือขนาดใหญ่มากถึงขนาดเล็กมีจำนวนมาก

Jellyfish เป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง และไม่มีระบบประสาทที่ถูกจัดระเบียบแบบประสาทสัมผัส ซึ่งทำให้ไม่สามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยการสัมผัส แต่มีระบบประสาทที่เรียกว่า “nerve net” ซึ่งช่วยในการควบคุมการเคลื่อนไหวของเจลลี่ฟิช

Jellyfish สามารถพบได้ทั่วโลก ในทะเลทั้งควัน ร้อน และเย็น และมีลักษณะพฤติกรรมและการดำรงชีวิตที่หลากหลายตามชนิดต่าง ๆ ของมัน นอกจากนี้ Jellyfish สามารถมีผลกระทบต่อสังคมมนุษย์ เช่นเมื่อมีการเพิ่มจำนวน jellyfish มากขึ้นทำให้เกิดปัญหาในการทำกำจัดนำ้ตื้นและมีผลกระทบต่อการประมง และธุรกิจท่องเที่ยวทางทะเลได้

ขอขอบคุณภาพจาก - https://flyingwhale.me/guide-book/bangsaen/

ลักษณะทั่วไป และการการหาอาหาร ของแมงกะพรุน

แมงกะพรุนมีวิธีการหาอาหารที่เฉพาะเจาะจงและแตกต่างจากสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังหรือกระดูกเส้นในร่างกาย โดยใช้การกระจายเสียง (Jet Propulsion) เพื่อเคลื่อนที่และหาอาหาร โดยบีบตัวและพุ่งไปด้านหน้า และใช้หนวดพิเศษเพื่อดูดลงสู่ระบบทางเดินอาหาร ที่นั่นอาหารจะถูกย่อยและนำเข้าสู่กระเพาะอาหารกลางตัวเพื่อการดูดอาหารเพิ่มเติม

อาหารของ Jellyfish ประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในน้ำทะเล โปรตีน และสารอาหารอื่น ๆ ที่พบในสภาพแวดล้อมทะเล การหาอาหารของ Jellyfish มีความหลากหลาย ทำให้สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมทะเลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาหรือมีความหนาแน่นของอาหารที่แตกต่างกันในทะเล

ลักษณะทั่วไปของ Jellyfish มีลักษณะหลักคือ

  • รูปร่างแป้งน้ำ: Jellyfish มีรูปร่างคล้ายจานน้ำ โดยมักมีลักษณะเป็นแป้งและเรียบ มักมีส่วนบนที่โปร่งแสงหรือใส
  • สีเนื้อตามชนิด: มี jellyfish ที่มีสีต่าง ๆ ได้แก่ เหลือง สีแดง น้ำเงิน เขียว หรือมีลวดลายต่าง ๆ บนผิว
  • มีหนวดเล็ก ๆ: มักมีหนวดที่หยุดเสียงเป็นเส้นและมีรูปลักษณะต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของ jellyfish
  • ไม่มีกระดูกสันหลัง: Jellyfish เป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ทำให้มีความยืดหยุ่นในการเคลื่อนไหว
  • การเคลื่อนไหว: Jellyfish เคลื่อนไหวโดยการบีบตัวและคลานในน้ำ ส่วนมากจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่สุ่มสุด
  • ระบบประสาท: Jellyfish ไม่มีระบบประสาทที่ถูกจัดระเบียบแบบประสาทสัมผัส แต่มีระบบประสาทที่เรียกว่า “nerve net” ช่วยในการควบคุมการเคลื่อนไหว
  • สวมเกร็ดเล็กๆ: บางชนิดของ jellyfish มีกระดูกเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “statocysts” ซึ่งช่วยในการรับรู้ทิศทางแรงโน้มถ่วง
  • มีหลายชนิด: มีหลายสายพันธุ์ของ jellyfish ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน

ชนิดของแมงกะพรุน ลักษณะและพฤติกรรม ที่แตกต่าง

  1. มีหลายชนิดของ Jellyfish ที่มีลักษณะและพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป นี้คือบางชนิดที่มีชื่อที่น่ารู้จัก
  2. Chrysaora fuscescens (Pacific Sea Nettle): มีรูปร่างทรงกระบอกและมีสีแดงสดและสีเหลือง มีหนวดยาวที่น่าจะทำให้คล้ายเสื้อผ้าสากล
  3. Cyanea capillata (Lion’s Mane Jellyfish): มีรูปร่างทรงกระบอกและหนามยาวที่น่าจะมีกลางเสียง มีสีแดงน้ำตาลหรือสีส้ม มักพบในทะเลเหนือ
  4. Box Jellyfish (Chironex fleckeri): เป็น Jellyfish ที่มีกลุ่มขนนำที่น่าจะมีลักษณะกลมทรง มีสีน้ำตาลหรือสีเขียว มีนวลยานสำหรับการกลั่นพิษที่อันตราย
  5. Irukandji Jellyfish (Carukia barnesi): เป็น Jellyfish ขนาดเล็ก มีสีเหลืองอ่อน ทำให้เสี่ยงต่อการกลั่นพิษเพราะมีพิษที่อันตราย
  6. Cassiopea (Upside-down Jellyfish): มีลักษณะทรงกระบอกและมีสีน้ำตาลหรือสีเขียวอ่อน มักพบในทะเลที่มีน้ำตื้น
  7. Rhizostoma pulmo (Barrel Jellyfish): มีรูปร่างทรงกระบอก สีน้ำตาลหรือสีขาว มีขนาดใหญ่ถึงกลาง
  8. Aurelia aurita (Moon Jellyfish): เป็น Jellyfish ที่มีลักษณะใบเส้นกลมและโปร่งแสง สีเขียวหรือน้ำเงินอ่อน มักพบในน้ำทะเลร้อน และมีขนาดเล็กถึงกลาง

หากถูกพิษแมงกะพรุน ควรทำอย่างไรได้บ้าง

  1. ถ้าถูกแมงกะพรุน ควรรีบขึ้นจากน้ำทันทีและไม่ควรฝืนเล่นน้ำต่อ เพื่อป้องกันอาการรุนแรงขึ้นและการจมน้ำได้
  2. หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง, หมดสติ, หรือหยุดหายใจ ควรรีบตามคนช่วยเหลือและช่วยฟื้นคืนชีพทันที
  3. ใช้น้ำส้มสายชูรดบริเวณแผลโดยเร็ว เพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของเข็มพิษ ห้ามถูหรือสัมผัสบริเวณแผลด้วยมือเปล่า
  4. หากไม่มีน้ำส้มสายชู ให้ล้างด้วยน้ำทะเล ห้ามใช้น้ำอื่น เช่น น้ำจืด, น้ำปัสสาวะ, น้ำมัน
  5. หากมีอาการรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาต่อไป
  6. ถ้าผู้ป่วยไม่มีอาการรุนแรง ควรสังเกตอาการอย่างน้อย 1 ชั่วโมง โดยเฉพาะถ้ามีความเสี่ยงจากแมงกะพรุนชนิด Irukandji ที่อาการรุนแรงอาจเกิดขึ้นภายหลัง